มะก้วยเทศ,บักหุ่ง,เเต่งตัว,ปาปาย่า…มีชื่อสารพัดที่คนต่างที่ต่างถิ่นใช้เรียกหามะละกอ
ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะประโยชน์ของพืชชนิดนี้มีอยู่มหาศาล อีกทั้งรสชาติยังหอมหวาน ถูกปากคนค่อนโลก
ว่ากันว่าแหล่งกำเนิดของมะละกอนั้นอยู่ไกลโพ้นข้ามซีกโลกไปถึงทวีปอเมริกาใต้ ที่แพร่ขจรขจายออกมาต่างถิ่นนั้นก็ด้วยฝีมือนายโคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาเมื่อหลายร้อยปีก่อน และในที่สุดก็เล็ดรอดเข้ามาถึงเมืองไทยเราจนได้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นช่วงเริ่มทำการค้าการขายกับชาวยุโรป
สำหรับชื่อเรียกแปลกๆ ว่า “มะละกอ” นั้น กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงลายพระหัตถ์อธิบายว่า รับมาจากเพื่อนบ้านคือพวกมลายูฝั่งตะวันออกแต่เพี้ยนมาจากคำว่า “มะละกา” เนื่องจากขึ้นอยู่มากในเกาะชื่อเดียวกันนั้น อย่างไรก็ตาม ในท้องถิ่นภาคต่างๆได้มีคำเรียกขานมะละกอแตกต่างกันออกไปอีก เช่น ในภาคเหนือเรียก “มะก้วยเทศ”ชาวอีสานเรียก “บักหุ่ง” แต่ถ้าลงไปทางใต้แถบจังหวัดยะลาเรียก “แต่งต้น” สำหรับ “ปาปาย่านั้น เป็นคำฝรั่งที่พลอยทำให้เกิดศัพท์แสง”ปาปาย่า ป๊อก ป๊อก”ให้ฝรั่งใช้เรียกหาส้มตำไปในที่สุด
แม้ว่าตำราเก่าๆ บางเล่มระบุห้ามปลูกมะละกอในบ้าน เพราะชื่อพ้องกับคำว่า “มะระ”หรือ”มร” ที่ แปลว่าตาย หรือ “ละกอ”ส่อนัยถึงความแตกแยก ในอาการ”ละจากกอ”ทำให้คนอยู่ในบ้านไม่เป็นสุข เกิดอัปมงคลแต่ดูเหมือนคนรุ่นใหม่จะไม่ยี่หระกับความเชื่อนี้กันแล้ว
ชนวนสำคัญเกิดในในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม แสดงความโปรดปรานมะละกออย่างออกหน้า ถึงกับรณรงค์ให้ชาวไทยปลูกมะละกอไว้กินในบ้าน โดยใช้คำหว่านล้อมว่าเป็นอาหารอย่างดีซึ่งหาที่เปรียบได้ยาก พวกทหารญี่ปุ่นที่ยกพลเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็คลั่งไคล้มะละกอทั้งดิบและสุกเช่นกัน จึงเป็นที่สันนิษฐานกันว่า มะละกอได้กลายมาเป็นของคุ้นเคยที่คนไทยนิยมปลูกติดบ้านกันก็จากคราวนั้นเอง
อันที่จริง คำโฆษณาของรัฐบาลในการรณรงค์ให้คนไทยหันมานิยมมะละกอนั้นไม่ได้เกินเลยแม้แต่น้อยเพราะมะละกอเป็นพืชสารพัดประโยชน์จริงๆ นอกจากผลมะละกอดิบและสุก ที่คนชอบกินกันทั่วไปอยู่แล้ว ใบในส่วนยอดอ่อนก็นำมากินสดๆได้ ถึงจะขมและมียางแต่ชาวเกาะชวาในประเทศอินโดนีเซียก็ชอบกันนัก ในเรื่องของยางมะละกอที่หล่อเลี้ยงอยู่ทั่วทุกส่วนของต้นมะละกอนี้ คนไทยเราชอบนำมาใช้หมักเนื้อให้เปื่อยนุ่มมากกว่า หรือจะเหยาะลงไปขณะต้มเนื้อ ก็ให้ผลเหมือนๆกัน นอกจากนี้ยังว่ากันว่า หากเปลี่ยนมาต้มกับเสื้อผ้าแทน ยางมะละกอจะช่วยให้เสื้อผ้าขาวสะอาดน่าสวมน่าใส่เป็นที่สุดอีกสถานหนึ่งด้วย
เหตุที่แม่ครัวที่เก่งฉกาจฉกรรจ์ ใช้ยางมะละกอหมักเนื้อให้เปื่อยได้ หรือใส่ในเนื้อต้มทำให้เนื้อเปื่อยเร็วก็เพราะในยางมะละกอมีเอนไซม์ปาเปน (papain)เเละไคโมปาเปน (chymopapain)ที่สามารถย่อยโปรตีนในเนื้อสัตว์ได้
ลูกมะละกอเมื่อล่วงสู่วัยสุกเหมือนผู้ชายที่บวชเป็นพระ มะละกอเมื่อสุกเปลี่ยนสีเป็นสีของจีวรนั้นเป็นนัยบอกว่า สารอาหารที่มีประโยชน์ในมะละกอสุกและมะละกอดิบนั้นมีอยู่กันคนละตัว มะละกอดิบให้วิตามินซีเราก็กินสดๆ กินส้มตำมะละกอ อาหารลือชื่อของไทยเรา
ส่วนมะละกอสุกที่เรากินเป็นผลไม้หลังอาหาร เป็นการล้างปากให้กลับมาสะอาดชื่นลิ้น มีสองประโยชน์ใหญ่ควบกัน มีเบต้า-แคโรทีน และวิตามินซีสูง
น่ายกย่อง “เพชรแท้” อย่างมะละกอที่ใช้คุณงามความดีทั่วสรรพางค์กายพิสูจน์คุณค่าของตนเอง จนสามารถลบล้างค่านิยมปิดกั้นรังเกียจของคนไทยออกไปได้อย่างหมดจด เพียงช่วงเวลาในชั่วอายุคนเดียวเท่านั้น
ปลูกมะละกอไว้ในบ้านเเล้วจะทำให้ครอบครัวอัปมงคลหรือไม่ ทุกวันนี้ไม่มีใครสนใจอีกแล้ว เพราะพิสูจน์ไม่ได้ แต่เรื่องที่มะละกอดีต่อร่างกายนั้น พิสูจน์ได้แท้
แต่ที่รู้แน่ๆก็คือมะละกอสุกทั้งหอม หวาน นุ่มอร่อยลิ้น ส่วนมะละกอดิบนั้น ไม่ว่าจะปรากฏตัวอยู่ในชามแกงส้ม แกงเหลือง แกงป่า ผัดใส่ไข่ จานผักลวกจิ้มน้ำพริก ในถุงผลไม้แช่อิ่ม ตากแห้ง ในไหตั้งฉ่าย ผักดองน้ำส้ม หรือในครกส้มตำ ก็ล้วนเรียกน้ำลาย เชิญชวนให้เข้าไปลิ้มลอง
นี่ละ ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา…ประสา “มะละกอ”
ชื่อผัก: มะละกอ
ชื่อวิทยาศาสตร์: Carica papaya Linn
วงศ์: Caricaceae
กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร 2535
*วิเคราะห์โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
RE ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
-ไม่มีการวิเคราะห์
ข้อมูลจาก มหัศจรรย์ผัก 108 โครงการหนังสือห้องสมุด มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย